10 รายการโทรทัศน์เกาหลีใต้ที่ดีที่สุดประจำปี 2023

You are currently viewing 10 รายการโทรทัศน์เกาหลีใต้ที่ดีที่สุดประจำปี 2023

ตั้งแต่เรื่องราวความรักทั่วไป ไปจนถึงเรื่องราวของซูเปอร์ฮีโร่ที่ล้ำสมัยที่สุดที่เราเคยเห็นมา ในปี 2023 ถือเป็นปีที่ยอดเยี่ยมสำหรับวงการโทรทัศน์ของเกาหลีใต้

ปี 2023 เป็นปีแห่งวงการโทรทัศน์เกาหลีใต้ เราอาจไม่ได้มีรายการสุดฮิตอย่าง Squid Game หรือ All of Us Are Dead แต่รู้สึกเหมือนเป็นปีที่ฮันรยูสตาร์ได้ฝังตัวลงอย่างมั่นคงในวัฒนธรรมระดับโลก โดยมีการแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีของเกาหลีใต้บางรายการที่ถูกพูดถึงในระดับเดียวกับรายการที่ชาวตะวันตกนิยม

เราได้เห็นสตรีมเมอร์รายใหญ่เริ่มท้าทายการผูกขาดด้านละครเกาหลีของ Netflix โดยหวังว่าเราจะหยุดเปรียบเทียบรายการใหม่ทุกรายการกับ Squid Game และตอนนี้ก็เต็มไปด้วยรายชื่อรายการที่น่าทึ่งซึ่งการที่จะคัดเลือกรายการที่ดีที่สุด 10 รายการนั้น ถือเป็นเรื่องยากมาก เรามีรายการที่ควรยกย่องชมเชยอย่าง Twinkling Watermelon และ A Good Day to be a Dog รวมถึงซีรีส์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่เราเคยเห็นมา และยังย้ำเตือนอีกว่าหนังสยองขวัญเกาหลียังคงเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดอยู่เสมอ ดังนั้น 10 รายการที่คัดเลือกมา จึงมีตั้งแต่เรื่องราวโรแมนติกทั่วไป ไปจนถึงเรื่องราวของซูเปอร์ฮีโร่ที่ล้ำสมัยที่สุดที่เราเคยเห็นมา ในปี 2023 ถือเป็นปีที่ยอดเยี่ยมสำหรับวงการโทรทัศน์ของเกาหลีใต้เลยทีเดียว

10 รายการโทรทัศน์เกาหลีใต้ที่ดีที่สุดประจำปี 2023

10. The Glory (Netflix)

THE GLORY

หลังจากความสำเร็จของ Little Women เรื่อง The Glory ก็ถูกกำหนดให้ได้รับความนิยมต่อ ซีรีส์ระทึกขวัญแก้แค้นที่กล้าหาญและนองเลือดซึ่งจะได้เห็นมุนดงอึน (ซงฮเยคโย) แก้แค้นอย่างโหดร้ายต่อเหล่าอันธพาลในวัยเด็กของเธอ มันคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เราชื่นชอบเกี่ยวกับเค-ทริลเลอร์ ทั้งด้านมืด นองเลือด และเต็มไปด้วยการหักมุม น่าเสียดายที่ถูกตัดออกเป็นสองพาร์ทโดยไม่มีเหตุผล และบางครั้งคุณต้องทำงานเพื่อช่วยเหลือดงอึนในขณะที่เธอสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คน แต่นักแสดงชั้นนำและโทนเรื่องที่ดูชั่วร้ายทำให้เป็นส่วนเสริมที่ยอดเยี่ยมสำหรับรายการโทรทัศน์ระทึกขวัญเกาหลีใต้ที่ยิ่งใหญ่ที่มีผู้คนติดตามอย่างหนาแน่นอยู่แล้ว

9. Mask Girl (Netflix)

Mask Girl

Mask Girl ไม่ได้สร้างกระแสแบบเดียวกับ The Glory เนื่องจาก Netflix เผยแพร่เรื่องนี้อย่างเงียบๆ แต่มันเป็นถือเป็นซีรีส์ระทึกขวัญที่แปลกใหม่และอยู่ในกระแสซึ่งสมควรที่จะถูกจับตามอง ฉากมันเป็นเรื่องธรรมดา: คิมโมมีของอีฮันบยอลเป็นพนักงานออฟฟิศที่แอบซ่อนตัวภายใต้ Mask Girl สาวสตรีมเมอร์สุดเซ็กซี่ และเมื่อความลับของเธอถูกเปิดเผย จะเป็นอย่างไรต่อไป จากการแสดงอันเปล่งประกาย ด้วยการใช้นักแสดงพิเศษสองคนมารับบทเป็นคิมโมมีในช่วงชีวิตที่แตกต่างกัน  (นานะ จากวง After School และโกฮยอนจอง) Mask Girl จึงกลายเป็นบททดสอบที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับความหมายของการเป็นผู้หญิงในเกาหลียุคใหม่

8. Divorce Attorney Shin (Netflix)

Divorce Attorney Shin

Divorce Attorney Shin เป็นซีรีส์ทางกฎหมายที่มีความสามารถในกระบวนการพิจารณาคดี อย่างไรก็ตาม ผลงานชิ้นเอกของเรื่องนี้คือการเลือก โชซึงอู มารับบทเป็น ชินซองฮัน นักดนตรีที่กลับมาที่เกาหลีใต้เพื่อฝึกฝนทางด้านกฎหมาย ก่อนที่เขาจะรับบทแสดงใน Stranger ทาง Netflix โชซึงอูได้หยุดพักจากการแสดงเพื่อมุ่งสู่งานทางด้านละครเพลง และ Divorce Attorney Shin ก็ใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ โดยให้เขาร้องเพลงไปเรื่อยๆ ทั้งในสำนักงาน ในรถ และหน้าเครื่องเสียงสเตอริโอขนาดมหึมาของเขา ในแบบที่ทำให้ชินซองฮันดูมีมนุษยธรรมมากกว่าความเมตตาแบบอ้อมๆ ของเขาที่เคยทำได้ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมซีรีส์เรื่องนี้จึงทำงานได้ดีที่สุดนอกห้องพิจารณาคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำชินซองฮันร่วมกับเพื่อนสนิทของเขา จางฮยองกึน (คิมซองกึน) และโจจองซิก (จองมุนซอง) คุณไม่น่าจะได้เห็นภาพมิตรภาพของผู้ชายที่ดีต่อสุขภาพและสนุกสนานเช่นนี้ที่รายการอื่นอีกในปีนี้แน่นอน

7. See You in My 19th Life (Netflix)

ซีรีส์ที่สร้างจากเว็บตูนที่มีชื่อเดียวกัน See You in My 19th Life เป็นอีกหนึ่งเครื่องเตือนใจว่าเมื่อพูดถึงเรื่องราวที่ย้อนเวลากลับไป เกาหลีใต้คือราชาของเรื่องราวเหล่านั้น บันจีอึม (ชินฮเยซอน) กลับชาติมาเกิด 19 ครั้ง จนในที่สุดก็ได้พยายามเชื่อมต่อกับอดีตของเธออีกครั้ง และมีโอกาสกลับมารวมตัวกับความรักที่หายไป มุนซอฮา (อันโบฮยอน) ขณะที่จีอึมเริ่มจำชีวิตในอดีตของเธอได้มากขึ้น มันกลับกลายเป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยความอันตรายเกินกว่าที่เธอจินตนาการได้

ซีรีส์เรื่องนี้มีความเป็นผู้ใหญ่จากโลกอื่นของจีอึม ซึ่งในทางเทคนิคแล้วเธอมีอายุพันปี ซีรีส์เรื่องนี้นำเสนอในแนวคอเมดี้ และชินฮเยซอนก็สร้างบุคลิกการแสดงของตัวละครได้อย่างน่าสนใจ ในฐานะจีอึม เธอได้ตัดบุคลิกที่มีความมั่นใจ มีอำนาจเหนือกว่า และมีหลายแง่มุม ซึ่งขัดแย้งกับบทบาทที่กำหนดซึ่งมีนักแสดงนำในละครเกาหลีหลายคนเลือกใช้ มันทำให้เกิดไดนามิกเริ่มต้นระหว่างจีอึมและซอฮาที่ทั้งสนุกสนานและมีพลัง เป็นซีรีส์ที่แปลก แม้จะงงอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็เป็นเรื่องราวราวที่มีเสน่ห์หากคุณต้องการความโรแมนติกจากซีรีส์เกาหลีที่มีความแตกต่างไปจากเดิม

6. Welcome to Samdal-ri (Netflix)

Welcome to Samdalri

เมื่อพูดถึงชินฮเยซอน เธอนับเป็นนักแสดงนำที่การแสดงให้ได้รับชมในทุกๆ ปี หากคุณเคยดู Hometown Cha Cha Cha, When the Weather is Fine หรือ Once Upon a Small Town คุณก็สามารถเข้าใจเนื้อหาหลักของ Welcome to Samdal-ri ได้แล้ว

เรื่องราวของซีรีส์เรื่องนี้ มันเป็นความพ่ายแพ้ในกรุงโซล ที่ส่งให้ช่างภาพชื่อดังระดับโลกอย่าง โจซัมดัล (ชิยฮเยซอน) กลับไปยังบ้านเกิดในชนบทที่เธอสาบานว่าจะไม่มีทางกลับไปอีก ที่นั่นเธอต้องไตร่ตรองถึงสิ่งที่เธอต้องการจากชีวิตอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน มันก็พาเธอกลับไปพบกับความรักในอดีตที่ผลักดันให้เธอได้เห็นบ้านเก่าของเธอในมุมมองใหม่ๆ หากดูตามเนื้อเรื่องแล้ว มันไม่ใช่ซีรีส์แนวใหม่เลย แต่ด้วยพลังดาวรุ่งของชินฮเยซอน ความซ้ำเดิมของเรื่องราวเหล่านี้ กลับทำให้เราชอบมาก มันเป็นการปรุงแต่งที่น้อยกว่าการปรับแต่ง ทำให้ Welcome to Samdal-ri ไม่ใช่แค่เวอร์ชันที่ดีที่สุดของเรื่องราวนี้ แต่ยังเป็นหนึ่งในความโรแมนติกที่ดีที่สุดแห่งปีอีกด้วย

5. Soundtrack #2 (Disney+)

นี่คือเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ใน Disney+ นี่คือซีรีส์เงียบๆ เกี่ยวกับเส้นทางที่ยากจะหวนคืนสู่ความโรแมนติกอีกครั้ง โดยนักแสดง กึมแซรก รับบทเป็น โดฮยอนซอ นักเปียโนที่กำลังดิ้นรน ซึ่งเกิดโชคดีเมื่อซีอีโอของช่อง YouTube ยอดนิยมอย่าง จีซูโฮ (โนซังฮยอน) ถูกบังคับให้ต้องพักผ่อนและฝึกฝนการเล่นเปียโน แต่เรื่องราวไม่คาดคิดก็คือซูโฮเป็นแฟนเก่าของฮยอนซอ และตอนนี้กำลังทำงานร่วมกับเพื่อนใหม่ของเธอและเป็นคนที่สามในรักสามเส้าที่กำลังจะเกิดขึ้น “K” (ซนจองฮยอก) ไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับ K-romance แต่ Soundtrack #2 ได้จัดการเพื่อนำทางความซับซ้อนของความรักในอดีตที่ปรากฏด้วยหัวใจและจิตวิญญาณใส่ลงในจำนวนหกตอน ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องราวที่สดใหม่อย่างน่าประหลาดใจในสูตร K-romance ที่ไม่ค่อยมีสไตล์แบบนี้

4. Doona! (Netflix)

จากภายนอก Doona! ดูเหมือนเป็นซีรีส์โรแมนติกเกาหลีทั่วๆ ไป และในหลาย ๆ ด้านมันก็เป็นเช่นนั้น มันรวบรวมความคิดแบบเก่าที่ถูกต้องทั้งหมด แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะพลิกมันไปในทางที่ไม่คาดคิด นี่ถือเป็นซีรีส์สองฝั่ง ประการแรก เป็นการเริ่มต้นการตรวจสอบความเศร้าโศกเมื่อ อีดูนา (แบซูจี) ไอดอลเคป็อปที่กำลังป่วยหนัก หลบหนีจากสายตาของสาธารณชนโดยการมาอยู่ในบ้านนักเรียนที่ใช้ร่วมกัน ที่นั่นเธอได้พบกับอีวอนจุน (ยังเซจง) ที่จริงจัง ค่อนข้างไร้เดียงสา และชอบอาบน้ำอยู่เสมอ เมื่อความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาขึ้น โลกของดูนาก็เริ่มพลิกผันอีกครั้ง

3. Daily Dose of Sunshine (Netflix)

Daily Dose of Sunshine

นี่คืออัญมณีที่ซ่อนอยู่ในปีนี้ ซึ่งแตกต่างจากรายการอื่นๆ เพราะนี่คือซีรีส์ที่เฝ้าสำรวจไปในปัญหาและความเจ็บป่วยทางด้านสุขภาพจิตในเกาหลีใต้ Daily Dose of Sunshine เป็นภาพของซีรีส์ที่จริงใจและละเอียดอ่อนเกี่ยวกับความเจ็บป่วยทางจิต — สิ่งที่เกี่ยวข้องมากขึ้นเมื่ออัตราการฆ่าตัวตายในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จองดาอึน (พัคโบยัง) จึงเปลี่ยนจากพยาบาลทางด้านอายุรศาสตร์มาเป็นพยาบางทางด้านจิตเวช และเพราะเธอใจดีและเข้าใจคนไข้มากเกินไป เธอจึงค่อยๆ เข้าใจสุขภาพจิตของมนุษย์และต้องต่อสู้กับความเป็นอยู่ที่ดีของเธอเอง

Daily Dose of Sunshine อาจไม่ได้ถูกต้องเสมอไป อย่างน้อยก็เมื่อได้อ่านคำจำกัดความของความเจ็บป่วยทางจิตอย่างคร่าวๆ แต่ที่สำคัญกว่านั้น เรื่องราวเหล่านี้ไม่เคยได้รับโอกาสให้เป็นเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจ โดยขับเคลื่อนผ่านการเล่าเรื่องการหักล้างความเข้าใจผิดและการฟื้นคืนความเป็นมนุษย์ในด้านสุขภาพจิต สิ่งที่ดีที่สุดคือเมื่อตัวละครพูดคุยกันและยอมให้ตัวเองได้อ่อนแอเสียบ้าง — ทั้งหมดนี้ถูกสร้างโดยนักแสดงชื่อดังที่ช่วยสานต่อเรื่องราวทั้งหมดให้กลายเป็นละครที่จริงใจซึ่งอดไม่ได้ที่จะดึงดูดคุณเข้าไป

2. Revenant (Hulu, Disney+ นอกเหนือจากใน U.S.)

Revenant

ซีรีส์เรื่องนี้ชวนให้นึกถึงสไตล์สยองขวัญที่ล้าสมัยอย่างน่าเศร้าในโลกตะวันตก Revenant เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวิญญาณที่แทบไม่สนใจเรื่อง Jumpscares โดยเน้นไปที่การเสียชีวิตของมนุษย์ที่สูญเสียวิญญาณ และผู้คนที่พวกเขาทิ้งไว้ข้างหลังแทน คิมแทรีได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ดีที่สุดของเกาหลีใต้ แต่ Revenant คือสิ่งที่ทำให้เธอเก่งกาจขึ้นไปอีก ในขณะที่เธอพลิกบทบาทตัวเองระหว่างการเป็นกูซานยองผู้หวาดกลัว และการเป็นวิญญาณร้ายที่เข้าสิงเธอ ในขณะที่ศาสตราจารย์ยอมแฮซัง (โอจุงเซ) ผู้เงียบขรึม ร่วมต่อสู้เพื่อช่วยเธอและปกปิดความลับของเขาเอง สิ่งสำคัญที่สุดคือ นี่ไม่เหมือนกับการแสดงสยองขวัญหลายๆ เรื่องในทุกวันนี้ เพราะมันมีภาพจำว่าต้องมีผีที่น่ากลัว แต่เรื่องนี้กลับเป็นการมองความสยองขวัญที่เย็นชา และน่าขนลุกอย่างแท้จริงของมนุษย์มากกว่า และถ้าคุณชอบ Dark Water หรือ The Wailing คุณจะต้องชอบ Revenant แน่นอน

1.Moving (Hulu, Disney+ นอกเหนือจากใน U.S.)

Moving

เมื่อคำนึงถึงเฉพาะฉากซูเปอร์ฮีโร่ที่แข็งแกร่งของ Moving ซีรีส์เรื่องนี้จึงยังคงอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการจัดอันดับนี้ ซีรีส์เรื่องนี้มีประสิทธิภาพเหนือกว่า Marvel และ Star Wars ในบางจังหวะ ซึ่งเป็นหลักฐานว่า “ความเบื่อหน่ายโลกของซูเปอร์ฮีโร่” สามารถรักษาให้หายขาดได้อย่างง่ายดายด้วยซีรีส์แอ็คชั่นเหนือธรรมชาติที่มีงบประมาณสูงที่ได้รับการบอกเล่าอย่างดี

อย่างไรก็ตาม มันเป็นอะไรที่มากกว่านั้นมาก มันเริ่มขึ้นโดยเป็นการพบกันที่น่ารักระหว่างเพื่อนจอมพลังสองคน คิมบงซอก (อีจองฮา) และจางฮีซู (โกยอนจอง) ที่ถูกขัดจังหวะโดยสายลับชาวอเมริกัน “แฟรงค์” (รยูซึงบอม) ซึ่งมีเจตนาที่จะกวาดล้างภัยคุกคามจากการจะขึ้นเป็นมหาอำนาจของเกาหลีใต้ ในตอนท้าย Moving เป็นการเล่าเรื่องเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกัน โดยตัวละครเอกที่มีพลังพิเศษของเราจะเป็นมีชื่อที่เป็นรหัสลับสำหรับทุกคน และถูกบังคับให้ใช้ชีวิตอยู่ชายขอบของสังคม การแสดงในเรื่องนี้ขับเคลื่อนด้วยฝีมือที่โดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฝีมือการแสดงของรยูซึงรยงและฮันฮโยจู เราจึงได้เข้าใจว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่ฮีโร่ พวกเขาเป็นคนโดดเดี่ยว โดดเดี่ยวจากความไม่เหมือนคนอื่น และต้องการมิตรภาพอย่างสิ้นหวัง

เรียกได้ว่า Moving นั้น เป็นการแสดงให้เห็นว่าชีวิตของซูเปอร์ฮีโร่เองนั้นก็ไม่ได้รับความยุติธรรม และ Moving ไม่ใช่แค่ซีรีส์ที่ดีที่สุดแห่งปีของเกาหลีใต้เท่านั้น แต่ยังเป็นซีรีส์ที่ดีที่สุดรายการหนึ่งของโลกในปี 2023 อีกด้วย

Leave a Reply