ความนิยมของผู้ชมในการเล่าเรื่องแบบกระชับเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้
รูปแบบซีรีส์เกาหลีที่มีจำนวน 16 ตอน แบบดั้งเดิมกำลังถูกแทนที่ด้วยซีรีส์ที่มีจำนวน 12 หรือ 10 ตอนมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนี่สะท้อนถึงความต้องการของผู้ชมที่ต้องการเรื่องราวที่สั้นกระชับและการเล่าเรื่องที่รวดเร็ว
ซีรีส์ล่าสุด เช่น “Motel California” “Love Scout” และ “The Queen Who Crowns” ล้วนเป็นซีรีส์ที่มีจำนวน 12 ตอนทั้งสิ้น ซึ่งบริการสตรีมมิ่งมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงนี้
สมัยก่อนละครหรือซีรีส์เกาหลีมักจะมีจำนวนมาตรฐานอยู่ที่ 24 ตอน ก่อนที่จะลดเหลือ 20 ตอน และเปลี่ยนมานิยมที่ความยาว 16 ตอน มานานหลายปี อย่างไรก็ตาม ซีรีส์หลายเรื่องในปัจจุบันได้ลดจำนวนตอนเหลือเพียง 12 ตอน เท่านั้น อย่างซีรีส์เรื่อง “Unmasked” ของ Disney+ และ “The Potato Lab” ที่กำลังจะเปิดตัวต่างก็มีความยาว 12 ตอน ทั้งหมด ขณะที่สถานีชื่อดัง KBS ก็เพิ่งประกาศว่า “Drama Special” แนวโรแมนติกเรื่องใหม่จะมีรูปแบบเดียวกัน โดยซีรีส์บางเรื่อง เช่น “Good Girl Boo Semi” จะมีเพียง 10 ตอน ด้วยซ้ำ
ขณะเดียวกัน ผลงานอื่น ๆ ที่เพิ่งออกฉาย เช่น “The Witch” ของ Channel A, “Study Group” ของ Tving และ “Melo Movie” ของ Netflix ก็ใช้รูปแบบ 10 ตอนเช่นกัน ส่วน “The Trauma Code” ของ Netflix ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ก็มีเพียง 8 ตอนเท่านั้น โดยเดิมทีซีรีส์วางแผนไว้ว่าจะฉาย 10 ตอน ตอนละ 60 นาที แต่ได้ปรับโครงสร้างใหม่เป็น 8 ตอน ตอนละ 45 นาที เพื่อเพิ่มจังหวะให้กับเนื้อเรื่อง การปรับเปลี่ยนนี้ทำให้ “The Trauma Code” สามารถนำเสนอเรื่องราวที่เข้มข้นและน่าดึงดูดใจ ซึ่งเหมาะกับพฤติกรรมการรับชมของคนในยุคปัจจุบัน
การเติบโตของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งและการแพร่หลายของรูปแบบการทำซีรีส์หลายซีซั่นก็มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน เมื่อผู้ชมคุ้นเคยกับโครงสร้างแบบ 12 ตอน ทำให้รูปแบบที่ยาวกว่านั้นดูยืดเยื้อเกินไป ความต้องการในเล่าเรื่องที่รวดเร็วขึ้นยังช่วยกระตุ้นความนิยมของเนื้อหารูปแบบสั้น ซึ่งรวมถึงเว็บดราม่าที่มักพบเห็นในโซเชียลมีเดีย
ข้อได้เปรียบสำคัญของซีรีส์แบบ 12 ตอน คือความสามารถในการรักษาระดับการมีส่วนร่วมสูง การเล่าเรื่องที่กระชับขึ้นหมายถึงมีตอนเสริมน้อยลงและมอบประสบการณ์ที่ดื่มด่ำมากขึ้น แม้จะมีเพียง 8 ตอน แต่ซีรีส์ OTT บางเรื่องกลับสามารถสร้างอิมแพ็คต่อผู้ชมได้
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการทำซีรีส์ที่มีจำนวนตอนสั้นลงนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายเช่นกัน บริษัทผู้ผลิตต้องเผชิญกับการสูญเสียรายได้เนื่องจากจำนวนตอนที่น้อยลง และบริษัทผู้แพร่ภาพกระจายเสียงต้องดิ้นรนกับรายได้จากโฆษณาที่ลดลงเนื่องจากซีรีส์จบลงอย่างรวดเร็ว การจัดหารายการเพิ่มเติมจึงกลายเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ และถึงแม้ว่าการขยายเวลาออกอากาศแบบให้มีหลายซีซั่นจะเป็นทางเลือก แต่ก็ไม่มีการรับประกันว่าซีซั่นที่สองจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับซีซั่นแรก
ในท้ายที่สุด การเปลี่ยนไปใช้รูปแบบซีรีส์ที่มีจำนวนตอนที่สั้นลงจะเสริมสร้างการแข่งขันของอุตสาหกรรม ซึ่งเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงเท่านั้นที่จะโดดเด่นและประสบความสำเร็จ