รีวิว Extraordinary Attorney Woo ทนายอัจฉริยะ

You are currently viewing รีวิว Extraordinary Attorney Woo ทนายอัจฉริยะ

ซีรีส์ Extraordinary Attorney Woo เรื่องราวของ อูยองอู รับบทโดย พัคอึนบิน ทนายความอายุน้อยที่เป็นโรคแอสเพอร์เกอร์ (โรคในกลุ่มออทิสติก) และได้มีโอกาสเข้าร่วมกับสำนักงานกฎหมายรายใหญ่ เธอมีไอคิวสูงถึง 164 มีความจำเป็นเลิศ และมีความคิดสร้างสรรค์ อูยองอู สำเร็จการศึกษาด้วยเกรดเฉลี่ยสูงสุดในชั้นเรียน แต่เธอกลับพบว่าตัวเองต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าสังคม

Extraordinary Attorney Woo กับกิมมิคเล็กๆ มีความเล่นสีสันเล็กน้อย ในตอนที่8

(เนื้อหามีสปอยล์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับชม)

ในเรื่องเราจะเห็นร่มของคน 4 กลุ่มในอีพีนี้ ซึ่งเป็นสีที่แสดงถึงบทบาทของคนเหล่านั้น ซึ่งสีสันจะช่วยส่งความรู้สึกให้คนดูสัมผัสดีเทลต่างๆได้มากขึ้น
เริ่มจาก ร่มของแทซาน “สีแดง” ที่แสดงถึงพุ่งพล่าน ร้อนแรง เหมือนวิธีการจู่โจมในศาลของแทซาน ทำอะไรฉับไวและมันเป็นสีที่โดดเด่น เห็นแต่ไกล สะดุดตา เหมือนวิธีพรีเซนต์ของแทซาน

“สีน้ำเงิน” ของฮานบาดา คงไม่บังเอิญเพราะ บาดา (바다) แปลว่า ทะเล เลยมีความสุขุม นุ่มลึกราวกับน้ำทะเล มีความละมุมละม่อมเหมือนฟองคลื่น แต่บทคลื่นแรง ก็กวาดซะเรียบ ซัดซะเกลี้ยงเหมือนกัน และยังเป็นสีที่เขร่งขรีม ให้ความรู้สึกไว้ใจได้ เชื่อใจได้ด้วย ก็คงเหมือนวิธีการต่อสู้สไตล์ฮานบาดา มั่นใจกับพวกเขาได้เลยว่าจะสู้สุดใจเมื่อรับทำคดีให้แล้ว

“สีดำ” ที่สื่อถึงศาล ผู้พิพากษา ที่ต้องหนักแน่นที่สุด ไม่ถูกผสมปนเปไปได้ง่าย เพราะสีดำผสมอะไรก็จะดำไปหมด ไม่อาจเปลี่ยนเป็นสีอื่น

“สีขาว” ของสื่อมวลชน ที่ต้องเป็นดั่งแสงสว่าง เปิดเผยความทุกข์ร้อนของผู้คน เป็นแสงสว่างในวันที่มืดมน และโปร่งใส ไม่ใส่ไข่ ไม่เติมสี เพราะมันคือหน้าที่ของสื่อมวลชน

ตัดมาที่ภาพปิดท้ายอีพี กับภาพวาดยองอูนั่งใต้ร่มสีม่วงกับแม่ เมื่อซีรีส์ แทนแม่เป็นสีแดง แทนพ่อเป็นสีน้ำเงิน
รวมกันออกมาเป็นสีม่วง ที่หมายถึงอูยองอูที่แสนพิเศษ แม้จะเจอฝนตก ท้องฟ้าไม่เป็นใจ แต่ก็ยังมีรุ้งพาดผ่าน..ต่อให้นึกย้อนไปหลังจากได้คุยกับแม่แล้ว วันนั้นยองอูคงรู้สึกดีจริงๆ

ความหมายของฉากจูบในตอนที่ 10

Extraordinary Attorney Woo Kiss Scene and meaning

ซีนนี้ ซีรีส์จงใจสร้างบรรยากาศโรแมนติก โดยใช้ความมืดปิดบังรูปลักษณ์ภายนอกของทั้งคู่
เพื่อให้คนดูใช้ความรู้สึกนำก่อนสายตาจะตัดสิน
ก่อนที่สมองจะเริ่มหาเหตุผล หรือความเหมาะสม

ถ้าแค่ใช้หัวใจ..เรารู้สึกถึงคนสองคนที่รักกัน
สองคนที่ไม่ได้ต่างกันเลย

คนดูจะสัมผัสได้เพียงว่า.. นี่คือคนสองคนที่รู้สึกดีต่อกัน กำลังจุมพิตท่ามกลางแสงไฟในกรุงโซล
❤️
ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน
ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร..
ความรักต่างปฏิบัติต่อเราเท่ากัน
ทำให้หัวใจเราสั่นไหวไม่ต่างกัน
ทำให้โลกหยุดหมุนได้เหมือนกัน



เรื่องความสัมพันธ์ของคนปกติดูจะซับซ้อนกว่าคนไม่ปกติเสียอีก

Extraordinary attorney Woo อีพีนี้เปรียบเทียบเรื่องความสัมพันธ์ได้ค่อนข้างชัด จากที่อีพีก่อนใครต่อใครต่างก็เป็นห่วง หากจุนโฮจะมารักยองอูว่าจะมีปัญหา เกิดความยุ่งยาก จุนโฮอาจจะต้องลำบากไปทั้งชีวิต อีพีเลยเปรียบเทียบให้ดูว่า “มีแค่คนปกติเท่านั้นหรอ ที่จะมีความสัมพันธ์อย่างราบรื่นและสมหวังได้?”

ด้วยการหยิบเอาความสัมพันธ์ทนายผู้เป็นดั่งแสงแดด “ซูยอน” ที่กำลังจะเริ่มต้นความสัมพันธ์กับชายผู้แสนดีที่สุดท้ายกลับพลิกเป็นหลังมือ เมื่อผู้ชายหวังจะปอกลอกเธอจากความสัมพันธ์

และอีกคู่สามีภรรยา ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบกว่าปี แต่แล้วพอวันนึงมีตัวแปรเข้ามา หัวใจก็กลับเปลี่ยนไปอย่างง่ายดาย กลายเป็นลืมวันเวลาเหล่านั้นเสียเฉยๆ เลย

ดังนั้น เรื่องความสัมพันธ์และความรัก
จะคนปกติหรือพิเศษกว่าทั่วไป มันมีความยากง่ายเหมือนๆ กันทั้งนั้น ไม่มีอะไรการันตีว่า ความสัมพันธ์ดีๆ ต้องเกิดจากคนปกติด้วยกันเท่านั้น
.
ส่วนความสัมพันธ์จะดีไม่ดีขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและนิสัยของคนๆ นั้น มากกว่าความปกติหรือความพิการ เพราะเรื่องความรักมันเป็นเรื่องที่อยู่ “ข้างใน”
ถ้าเรามี “หัวใจ” เรามีสิทธิ์จะรักได้ไม่ต่างกัน

Extraordinary attorney Woo กำลังพายองอูเรียนรู้เพิ่มขึ้นไปอีกขั้นเกี่ยวกับ “บริบท” ในตอน 12


กับภาพเทียบของทนายสองคน ที่สะท้อนเข้ามาในหัวใจคนดูเช่นกัน ว่าแท้จริงแล้ว คุณค่าของสิ่งที่เรากำลังทำอยู่คืออะไร มันมี “บริบท” ยังไงกัน

ซีรี่ส์เปรียบง่ายๆ ระหว่างการแพ้แต่สุขใจ
กับการชนะแต่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัว เราพอใจแบบไหนมากกว่า

เพราะมันเป็นอาชีพที่ตัดสินชีวิตคนได้
เพราะทนายคือกลไกหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม

เป็นอีพีที่ย้อนถามจิตสำนึกด้วยการเล่าเรื่องผ่านเพื่อนหญิงพลังหญิงที่แท้ทรู


เมื่อทุกสิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่ตาเห็น


อีกข้อความที่ Extraordinary Attorney Woo อยากจะบอกเรา
ประโยคที่หลวงพ่อได้พูดไว้อย่างคมๆ ดูจะเข้ากันกับสถานการณ์ของตัวละครในอีพีนี้เสียเหลือเกิน

เพราะแต่ละตัวละครต่างก็มีเรื่องราวที่ไม่ได้เป็นอย่างที่ตาคนดูได้ชมมาตลอด 12 อีพีที่ผ่านมา

เริ่มจากหัวหน้าทนายมยองซอก ที่ดูชีวิตจะประสบความสำเร็จในฐานะทนาน หน้าที่การงานที่อยู่บริษัทใหญ่ เป็นระดับหัวหน้าแผนกคดีสาธารณประโยชน์ (อารมณ์แบบ CSR หน่อยๆ) มองแค่ตาเปล่า คงเป็นตัวอย่างความฝันของวัยทำงานหลายๆ คน ที่อยากจะประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาวกันอยู่

ซึ่งอีพีนี้ก็ได้เปิดเผยอีกด้านของเหรียญที่เราไม่เคยรู้ว่า..กว่าจะมาถึงจุดนี้ มยองซอกต้องแลกอะไรในชีวิตไปบ้าง และมันเป็นการแลก ที่ “ไม่มีวัน” ได้กลับคืน อย่าง ภรรยาที่แสนน่ารัก สุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ความสุขในการนั่งรับลมเย็นๆ หายใจได้แบบช้าๆ แบบไม่ต้องรีบ อย่างตอนที่อยู่เชจู

ทั้งหมดเขาแลกมันเพื่อสิ่งที่คนชมชอบกัน อย่างความก้าวหน้า และความสำเร็จ

ต่อมาคือมินอู เป็นตัวละครที่เซอร์ไพรส์มาก เมื่อได้รู้ว่า ความทะเยอะทะยานที่เหมือนจะเป็นพฤติกรรมปกติของวัยนี้ หรือเป็นนิสัยของเขา แท้จริงแล้วมันมีแรงกดดัน มีภาระบางอย่างที่กดทับซ่อนไว้อยู่ จึงเป็นสาเหตุที่เขาต้องทะยานไปให้สูงที่สุด ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้

จากบทสนทนาสั้นๆ กับซูยอนที่สะพาน ก็พอทำให้คนดูคาดเดาได้ว่า มินอูไม่ได้มาจากครอบครัวที่มั่งมีซักเท่าไร และตอนนี้พ่อหรือแม่อาจจะมีปัญหาสุขภาพที่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการรักษา

พอเราได้เห็นเหรียญอีกด้าน เรื่องราวอีกฝั่งของมินอู ก็พอจะทำให้เข้าใจสิ่งที่เขาเป็น สิ่งที่เขาทำ ว่าเขากำลังแลกอะไรบางอย่างอยู่เหมือนกัน ได้แต่หวังว่าเขาจะพบวิธีที่ดีกว่าที่กำลังทำอยู่ในไม่ช้า

จุนโฮ พ่อไมโครเวฟ ที่ดูจะยอมรับตัวตนของยองอูได้ทุกอย่าง รวมถึงความพิการของเธอ แต่แค่ความจิตใจดีของเขาก็อาจจะไม่ช่วยให้ความรักที่จริงจังในครั้งนี้เบ่งบานได้อย่างเต็มที่
เมื่อทัศนคติของครอบครัวก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่ยากจะปฏิเสธว่ามันมีอิทธิพลในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักมากนักต่อนักแล้ว

น่าเสียดาย..ที่ครอบครัวจุนโฮ ไม่อาจมองข้ามสิ่งที่สายตาได้เห็น เลยไม่ได้สัมผัสตัวตนของยองอูจริงๆ

ยอนซู ทนายแสงแดดที่แสนอบอุ่น ต่อหน้าดูจะเกลียดคนอย่างมินอูเข้าไส้ แต่ไม่รู้ตอนไหน ที่หัวใจเธอกลับไปหวั่นไหวให้มินอูคนเห็นแก่ตัวคนนี้ไปได้นะ หรือที่จริงเธอไม่ได้เกลียดเขาแต่แรกหรอก แต่คงมีความสนใจเป็นพิเศษระหว่างเพื่อนร่วมงาน ที่เราอยากให้ใครสักคนเป็นคนที่ดีขึ้นรึเปล่า

ส่วนยองอู สิ่งที่เห็นอย่างชัดเจนสำหรับเธอ กลับไม่ได้หมายความแบบที่ตาเห็นเสมอไป

มันอาจจะมี “ความจริง” บางอย่างที่เก็บซ่อนไว้
ที่ไม่ได้เปิดเผยให้เรารู้ หรือไม่อาจจะเปิดเผยได้
เพราะส่วนใหญ่ เรื่องที่ถูกเก็บซ่อนไว้ มักจะไม่สวยงามชวนชม และพาปวดใจอยู่เสมอ

แล้วเรื่องได้สื่อสารทั้งหมดมายังคนดูผ่านสายตาอูยองอูอีกเช่นเคยว่า…
อย่าเพิ่งเชื่ออะไร เพียงแค่สายตาบอกเราเลย

เมื่อเรารู้”ความหมาย” ของสิ่งที่ทำ ต่อให้ผลออกมาแบบไหน เราก็จะสุขใจไปกับมัน

Extraordinary Attorney Woo EP12 Review

(มีสปอยล์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับชม)

เป็นแง่คิดที่ได้หลังจากจบอีพี 12 ที่บอกให้เราได้ฉุกคิดและย้อนถามถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ในทุกวัน

ในสังคมการทำงานทุกวันนี้ คนที่ถูกมองว่าประสบความสำเร็จ มักมีส่วนประกอบอยู่ไม่กี่อย่าง ต้องมีอาชีพมีหน้ามีตา ต้องทำงานในบริษัทระดับใหญ่ ต้องแข่งขันไปยืนอยู่เป็นระดับแถวหน้าขององค์กรโดยไม่สนวิธีการ อย่างที่ควอนมินอูกำลังทำ และหลายๆคนก็อาจจะตกอยู่ในภาวะแบบนี้ไม่ต่างกัน

ซีรีส์ฉลาดพอที่จะเล่าเรื่องราวประเด็นที่ลึกซึ้ง ให้ย่อยง่ายด้วยการเล่าผ่านสายตายองอูแทน ที่ก่อนหน้านี้ เราจะเห็นความพยายามอย่างหนักในคดีที่ฮันบาดารับผิดชอบ ยองอูและทีมฮันบาดาพยายามหาหนทางเพื่อชัยชนะในทุกคดี เพราะมันหมายถึงความสำเร็จ สิ่งที่พิสูจน์ความสามารถของเธอในฐานะทนายความใน บ. ชั้นนำของวงการ และเพื่อลูกความที่ยอมควักเงินจ่ายให้ฮันบาดา

แล้วพอยองอูได้เจอกับทนายรยู ทนายจากสำนักงานต๊อกต๋อย ไม่ได้มีตึกใหญ่โต แต่สิ่งที่เธอทำมันช่างยิ่งใหญ่เกินกว่าทนายตัวเล็กๆจะทำ เธอไม่ยอมถอยสักก้าวเดียว แถมยังกล้าประชันกับทนายจากฮันบาดาอย่างสุดตัวแม้จะรู้ว่าครั้งนี้อาจจะไม่ชนะก็ตาม

คงเพราะเธอรู้ว่าสิ่งที่เธอทำมันมี “ความหมาย” และหากมันสำเร็จ มันจะมอบคุณค่าอะไรให้สังคม ทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้นมาบ้าง

“ความหมาย” ที่ไม่ได้หมายถึงตัวเอง

เธอรู้ว่าการเป็นทนาย ไม่ใช่มองลูกความเป็นลูกค้าแบบที่บริษัทใหญ่ๆ มอง แต่เธอมองว่า ลูกความคือคนๆ นึง ที่มีทนายเป็นที่พึ่ง …และอาจจะที่สุดท้ายด้วยซ้ำไปสำหรับปัญหาของพวกเขาที่เรียกร้องหาความยุติธรรม

สิ่งเหล่านี้คงสะท้อนอยู่ภายในใจของยองอู ดูจากกิจกรรมเดตที่เซ็ทไว้ทำร่วมกับจุนโฮ เต็มไปด้วยกิจกรรมที่สร้างเรื่องดีๆให้เกิดขึ้นบนโลกนี้มากมาย สร้างคุณค่าบางอย่างคืนกลับไปสู่สังคม ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สะท้อนตัวตนลึกๆของยองอู และแน่นอนว่าเรื่องราวในอีพีนี้ การได้ฟังบทกวีจากทนายรยู คงจุดประกายเล็กๆ ในตัวยองอูกับการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง ที่มากกว่าการเป็นทนายที่เก่งที่สุด ที่ใครต่อใครยอมรับ

และมันอาจทำให้ทั้งยองอู รวมถึงคนดูที่ติดอยู่ในภาพจำเดิมๆ ได้เข้าใจว่าการไต่ไปอยู่จุดที่สูงที่สุด หรือการได้มาซึ่งชัยชนะ การเป็นที่ 1 เสมอ ไม่ได้แปลว่า “สำเร็จ” เสมอไป

“ความสำเร็จ” อาจเป็นการเปลี่ยนสิ่งเล็กๆน้อยๆ ให้สังคมได้น่าอยู่ขึ้นมาบ้าง
อย่างการเก็บขยะ การเรียกร้องสิทธิให้วาฬ การเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมโลกให้มากขึ้น

เพราะมันคือความสำเร็จในฐานะมนุษย์คนนึง ประชากรโลกคนนึง

เพียงแค่เกิดคำถามเหล่านั้นขึ้นมาในใจ
ว่าในสิ่งที่เราตื่นมาทำในทุกๆวัน ไม่ว่าจะอาชีพอะไร
มันมีความหมายอะไร และมอบคุณค่าให้แก่ใครบ้าง หรือกว้างไปกว่านั้น มันจะทำให้สังคมดีขึ้นได้แค่ไหน

ถึงแม้วันนี้มันอาจจะไม่เป็นไปตามหวังหรือไม่อาจเห็นผลได้ในเร็ววัน แต่พอได้ทำสิ่งที่มีความหมายแก่ใครสักคน เป็นคุณค่าที่ตัวเงินไม่อาจประเมินได้แล้วเมื่อไหร่ละก็..

ต่อให้ผลจะออกมาไม่สมใจ…แต่เราจะยังภูมิใจกับมันเสมอ เพราะอย่างน้อยเราก็ได้ลงมือทำสิ่งที่มีคุณค่าจริงๆ

หากเพียงแค่คำถามพวกนั้นได้ผุดเข้ามาในใจของคนดู..ได้จุดประกายอะไรสักอย่าง
เพียงเท่านี้ก็ถือว่าซีรีส์ประสบความสำเร็จแล้วล่ะ
เพราะได้มอบคุณค่าบางอย่างมาถึงคนดู สมอย่างที่ได้หวังเอาไว้แล้ว

เรื่องของความสัมพันธ์บางครั้งใช้แค่ความรู้สึกก็ไม่อาจพอ

ถึงแม้ทั้งคู่จะเปิดเผยความรู้สึกแก่กันอย่างตรงไปตรงมาแต่พอเป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่จริงจังและเริ่มมองเห็นอนาคตข้างหน้าด้วยกัน แค่ความรู้สึกของเรามันก็คงไม่พอที่จะประคับประคองให้ตลอดรอดฝั่ง
ประเด็นนี้แทบจะเป็นแก่นของความสัมพันธ์ เป็นความจริงในทุกๆคู่บนโลกนี้ ถ้าหากเลือกได้ว่า แค่รักกันแล้วฝ่าฟันกันไปพบตอนจบที่สวยงามแบบในนิทานได้ก็คงดี

แต่นั่นมันก็นิทาน
ในโลกความเป็นจริงมีอะไรที่ให้เราต้องเจอมากมาย
ต้องอดทน ต้องผิดหวังเพื่อให้เราได้เติบโตขึ้นแข็งแกร่งขึ้นและได้รู้ในสิ่งที่ไม่รู้มากขึ้น

ความผิดหวัง เสียใจของจุนโฮในวันนี้จะทำให้เขาเติบโตขึ้น เข้าใจได้มากขึ้น เช่นเดียวกับยองอูที่เธอจะเรียนรู้ว่า..

การที่วาฬจะต้องอยู่รวมกันเป็นฝูง ก็เพราะฝูงจะช่วยคุ้มครอง ปกป้องกันและกัน วาฬจึงจะมีชีวิตรอดในท้องมหาสมุทรที่แสนกว้างใหญ่นั้นได้

หากวาฬแยกตัวออกจากฝูงเมื่อไร คงไม่อาจรอดพ้นจากอันตรายที่อยู่ใต้น้ำนั้นได้เพียงลำพังแน่นอน

วาฬจึงไม่อาจโดดเดี่ยว
เช่นเดียวกับโลมา
และเช่นเดียวกับยองอู



อย่าเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่เรา(เคย)เกลียด

บางครั้งในการทำงาน เราอาจจะเลือกหัวหน้าดีๆเองไม่ได้
หรือไปกำกับให้เขาทำสิ่งที่ถูกใจลูกน้องได้ หรืออาจจะไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดีอะไรในความรู้สึกเราเลยด้วยซ้ำ

ซึ่งอันที่จริง ทุกคนที่ผ่านมาในชีวิตต่างมอบบทเรียนให้เราเสมอ แม้กระทั่งคนอย่างทนายจางซึงจุนก็ได้ทำให้คนอย่างมินอู และบรรดาคนดูได้รู้ว่า…

“อย่าเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่เรา(เคย)เกลียด”

วันนี้ภูมิใจในตัวมินอูมาก ไม่เสียแรงที่เคยวิเคราะห์ไว้
และมินอูคงได้เห็นภาพตัวเองในอนาคต ผ่านทนายจางแล้วล่ะค่ะ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเลือกเป็นแบบนั้นหรือเปล่า

ประตูสู่โลกใบใหม่ของอูยองอู ในตอนที่ 9

(เนื้อหามีสปอยล์ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับชม)
ตั้งแต่ต้นเรื่องเราจะเจอประตูเจ้าปัญหาที่ทำยองหัวหมุนซะหลายรอบ ประตูหมุนที่เป็นทางเข้าหลักของสำนักงานฮันบาดา และก็เป็นที่แรกที่เธอได้พบกับ “จุนโฮ” ชายหนุ่มจิตใจดี ที่ได้ช่วยเหลือเธอ ด้วยการสอนวิธีการเพื่อให้ผ่านประตูนั้นไปได้

และประตูนี้ก็กลับมาอีกครั้งในอีพีที่ 9 กับการสารภาพความในใจของจุนโฮ ณ ที่ที่เขาได้พบเธอครั้งแรก

นอกจากการใส่ “ประตูหมุน” มาเพื่อเตือนความจำของเราถึงที่ที่พวกเขาได้พบกันแล้ว ประตูหมุนนี้เอง ยังแทนความหมายถึง “การผ่านไปสู่โลกใบใหม่ “

โลกที่มีอะไรแปลกใหม่..ให้ยองอูได้เรียนรู้อีกมากมาย

ในอีพีที่ 1 ขณะที่เธอพยายามจะเข้าประตูเพื่อเข้าไปสู่ “โลกการทำงาน” เธอพยายามด้วยตัวเองในทีแรกแต่ก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปในตึกได้ จนมีใครสักคนยื่นมามาช่วยเธอ..นั่นคือจุนโฮ

เปรียบได้กับการทำงานเป็นทนายของยองอู ต่อให้เธอมีความพยายามทำด้วยตัวเอง แต่ความเป็นจริงแค่ความพยายามมันอาจไม่เพียงพอ จึงต้องมีคนประคับประคองไปก่อนที่จะได้เรียนรู้ “จังหวะ” ในการทำงานนั้น ซึ่งในช่วงแรกมันจะทุลักทุเลอยู่หน่อยๆ อย่างที่เราเห็นการทำงานของทีมยองอู กว่าพวกเขาจะจับเจอจังหวะกัน ก็เล่นซะปวดหัวอยู่หลายตอน

และพอเธอเข้าสู่โลกการทำงานจริงๆ ยองอูเลือกจะออกประตูด้านข้างที่เป็นประตูธรรมดาแทน ประตูที่เข้าออกได้ง่ายกว่า ประตูที่เธอรู้จักมันอย่างดี คงแปลว่า การทำงานคงสอนอะไรเธอมาเหมือนกันอยู่ละนะ

พอมาในอีพีที่ 9 ยองอู “ตัดสินใจ” ที่จะเดินผ่านประตูหมุนด้วยตัวเองอีกครั้ง แต่ครั้งนี้โลกที่เธอจะได้เรียนรู้คือ “โลกของความรัก ” ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนที่สุดของมนุษย์เรา

ทีแรก..เธอพยายามจะฝ่ามันไปด้วยตัวเอง ด้วยสิ่งที่เคยรู้มาอย่างการเข้าจังหวะ “ย่อ ย่ำ ย่ำ” แต่ก็ไม่สามารถผ่านไปได้ แถมยังทำให้เธอหมุนติดอยู่ในนั้นอีกต่างหาก

ก็แน่ล่ะ..โลกใบใหม่ใบนี้ มักทำให้สิ่งที่เราเคยรู้มาเป็นศูนย์เสมอ สิ่งที่เคยพบ ที่เคยเจอ ไม่อาจนำมาคาดเดาอะไรกับความรักได้เลย ความรักจึงเป็นเรื่องใหม่ทุกๆครั้ง ที่เราได้เจอมัน

สุดท้าย..ในขณะที่เธอกำลังติดอยู่ในประตูหมุนอยู่นั้น คนที่หยุดและพาเธอมา “พบทางออก” ได้สำเร็จ.. ก็คือจุนโฮ
พร้อมคำสารภาพจากใจจริงของเขา

ประตูหมุนเลยถูกใส่ไว้เพื่อบอกถึงก้าวต่อไปสู่โลกใบใหม่ที่ยองอูจะต้องเรียนรู้ ทั้งยาก ทั้งซับซ้อน และไม่เคยชิน

หวังว่าจะมีซักฉากนึงที่เธอจะเดินผ่านประตูหมุนนี้ได้ด้วยตัวเองอย่างมั่นใจสักครั้ง

และยองอูจะสตรองขึ้นเรื่อยๆ พร้อมเผชิญและเข้าใจโลกวุ่นๆใบนี้ได้ในที่สุด แม้มันจะชวนหัวหมุนสำหรับยองอูก็ตาม

Leave a Reply